Monday, November 7, 2011

แกงเขียวหวานไก่ใส่ลูกชิ้นปลา - Chicken green curry with fish balls and bamboo shoots



แกงเขียวหวานนี่เป็นอะไรที่ตอนอยู่เมืองไทยแล้วไม่ค่อยโปรดเท่าไหร่นัก เพราะอาหารที่เมืองไทยนั้นมีให้เลือกทานหลายอย่าง ไม่ซ้ำ แต่พอมาอยู่เมืองนอกแล้วกลับนึกอยากกินขึ้นมาบ่อยๆ อาจจะเป็นเพราะอยู่ที่นี่อาหารไทยอร่อยๆ เป็นรสชาดไทยแท้ๆนั้นหาทานยาก อาจจะเป็นเพราะเรื่องส่วนประกอบต่างๆ ไม่สด จริงๆแล้วที่ออสเตรเลียนั้นมีร้านอาหารไทยเยอะมากกกก แต่ร้านอาหารทั่วไปก็มักจะทำให้ฝรั่งทานได้ บางเจ้าก็ใส่นม บางเจ้าก็ไม่ได้มีรสชาดความเผ็ดเอาซะเลย เราก็เลยนึกอยากทำแกงเขียวหวานแบบอร่อยๆ ที่แม่เคยทำให้กินตอนเด็กๆ แบบที่มีกะทิแตกมัน แล้วก็ถึงรสเครื่องแกง

มา มาดูขั้นตอนการทำแกงเขียวหวานชามนี้กันเถอะค่ะ

วัตถุดิบ
1. ไก่ จะเป็นเนื้อส่วนไหนก็แล้วแต่ชอบ แต่เราชอบน่องบน กับปีก ประมาณ 400 กรัม
2. หน่อไม้ ซื้อจากร้านเอเชีย ที่อยู่ในแพคแล้วเอามาผ่าครึ่ง หั่นเฉียง ประมาณ 250 กรัม
3. ลูกชิ้นปลา 1 แพค ประมาณ 250 กรัม
4. กะทิกล่องตราชาวเกาะ (หรือยี่ห้ออะไรก็ได้ที่หาได้ แต่เราชอบยี่ห้อนี้) ประมาณ 750ml
5. พริกแกงเขียวหวาน เราใช้แบบสำเร็จยี่ห้อแม่พลอย ประมาณ 2-3 ช้อนโต๊ะ พูนๆ
6. น้ำมันพืช 2-3 ช้อนโต๊ะ

พวกสมุนไพร
1. พริกสด สีแดง สีเขียว หั่นเฉียง 4-5 เม็ด
2. ใบมะกรูด 4-5 ใบ
3. ใบโหระพา ประมาณ 4-5 ก้าน

ปรุงรส
1. น้ำปลา
2. น้ำตาล

วิธีทำ
ให้นำกะทะใส่น้ำมันตั้งไฟปานกลาง นำพริกแกงมาผัด ระวังอย่าเปิดไฟแรงเพราะแทนที่พริกแกงจะเขียว หอม จะกลายเป็นไหม้ไปซะก่อน รอจนพริกแกงมีกลิ่นหอม จึงใส่กะทิลงไป กะทิกล่องที่เราใช้ ก่อนใช้เราเขย่าก่อน แต่ไม่ต้องมากนะเพราะว่าเราอยากได้หัวกะทิมาเคี่ยวกับพริกแกง

จากนั้นก็คนพริกแกงกับกะทิ  รอให้แตกมัน นั่นก็คือให้พริกแกงกับกะทิเดือดปุดๆ ไอ้วงเล็กๆ นั่นแหล่ะคือการแตกมันของกะทิ น้ำกะทิจะแห้งลงนิดหน่อย ใส่น่องไก่ลงไปผัดๆพอเป็นพิธี แล้วเติมน้ำกะทิที่เหลือลงไป ทีนี้เราจะเป็นแล้วว่ากะทิแตกมันก็คือส่วนของน้ำมันที่ลอยอยู่เหนือกะทินั่นเอง แกงของเราจะมีหน้าตาน่าทานและสีสันสวยงาม :D

จากนั้นก็รอให้น้ำแกงเดือด ปรุงรสด้วยน้ำตาล และน้ำปลา ให้ระวังอย่าใส่น้ำปลาเยอะเพราะตัวพริกแกงเขียวหวานจะออกเค็มหน่อยๆ อยู่แล้ว แล้วหน่อไม้บางทีก็ออกเปรี้ยว ให้ปรุงออกหวานนำ

จากนั้นใส่พริกสด ฉีกใบมะกรูด แล้วก็ใส่ใบโหระพา คนให้เข้ากัน แล้วปิดไฟ ยกลงจากเตา

No comments:

Post a Comment